อย่าบอกนะไม่รู้เรื่องว่าการจัดพอร์ตคืออะไร ?
การจัดพอร์ต ก็คือการที่เราเลือกซื้อหุ้น ในหลายๆตัว เพื่อให้กระจายความเสี่ยงออกไป ตามหลักแล้วการเพิ่มจำนวนหุ้นในพอร์ตทำให้ความเสี่ยงลดลงอย่างรวดเร็ว หากจำนวนหุ้นในพอร์ตมากเกินกว่า 16 ตัว แต่ทุกอย่างก็ไม่ตายตัว อย่าง วอร์เรน บัฟเฟตต์ เองก็ เคยแนะนำว่านักลงทุนควรมีหุ้นเพียง 5-10 ตัวเท่านั้นแต่ไปมาๆ ตอนนี้เค้าก็ถือหุ้นมากมาย
กลับมาเข้าเรื่อง
หลังจากที่ไม่ได้เขียนเรื่อง หุ้น เรื่องลงทุนมานาน วันนี้ขอเสียหน่อยหลังจากที่ได้ไป update ข้อมูลผลการดำเนินงานย้อยหลัง 10 ปี ของกองทุนหลายๆแห่ง แล้วเอามาจัดพอร์ต เราพบว่า
ไม่จำเป็นแล้วที่เราจะต้องจัดพอร์ตแบบความเสี่ยงสูงกันอีกต่อไปละ ผมไปพบว่าการจัดพอร์ตแบบความเสี่ยงปานกลางก็สามารถให้ผลตอบแทนได้สูง ถึง 10% ได้ ซึ่งสูงๆพอๆกับพอร์ตแบบความเสี่ยงสูง ถ้าหากคุณเข้าใจ แล้วตัวเลขนี้ ผมก็ใช่กองทุนรวมเท่านั้นด้วย ไม่ใช่การลงหุ้นเป็นตัวๆด้วย
ไม่จำเป็นแล้วที่เราจะต้องจัดพอร์ตแบบความเสี่ยงสูงกันอีกต่อไปละ ผมไปพบว่าการจัดพอร์ตแบบความเสี่ยงปานกลางก็สามารถให้ผลตอบแทนได้สูง ถึง 10% ได้ ซึ่งสูงๆพอๆกับพอร์ตแบบความเสี่ยงสูง ถ้าหากคุณเข้าใจ แล้วตัวเลขนี้ ผมก็ใช่กองทุนรวมเท่านั้นด้วย ไม่ใช่การลงหุ้นเป็นตัวๆด้วย
จากรูปนี้ ผมเอาพอร์ตที่ผมจัด มาเทียบผลตอบแทนย้อนหลัง 10 ปี กับ SCBSET ซึ่งถูกใช้เป็นตัวเปรียบเทียบกลับตลาดได้เป็นอย่างดี ผลปรากฏว่า ผลตอบแทนก็มากกว่า แถมความเสี่ยงก็ลงอย่างมาก โดยผมเลือกเป็น กองทุนรวมตราสารหนี้ 45% และที่เหลือเป็น กองทุนรวมตราสารทุน อีก 55%
หลายคนที่ติดตามกันมา จะพบว่าผมนะจะเลือกเล่นกองทุนรวมเสียมากกว่า หุ้นเป็นรายบริษัทไป ทำไมนะหรือ เพราะว่ากองทุนรวมมันง่ายดีครับ เค้ากระจายความเสี่ยงมาแล้วระดับหนึ่ง เราจัดพอร์ตต่อ อีก แค่ 3-5 กองทุนก็เพียงพอแล้ว ไม่จำเป็นต้องจัดแบบกระจายมาก
นอกจากนี้การรีบาลานซ์พอร์ตก็จำเป็น เพื่อนเป็นการปรับพอร์ตให้กลับมาอยู่ในความเสี่ยงเท่าๆเดิมที่รับได้ จากรูปด้านบน ถ้าไม่ทำรีบาลานซ์พอร์ต ผลตอบแทนจะอยู่ที่ 8-9%แต่พอทำแล้วผลที่ได้ออกมาเป็น 10%
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น