1. ด้วยความที่เป็นลูกครึ่งของมันเลยมีข้อที่ดีมากเลยคือ เบี้ยคงที่ตลอดอายุสัญญา เบี้ยก็คงมีเท่ากับปีแรกที่ทำสัญญา ในขณะที่แบบเดิมจะมีการปรับราคาขึ้นทุกๆ 5 ปี
2. เป็นประกันโรคร้ายแรงแบบเดียวที่ให้ความคุ้มครองถึงอายุ 99 ประกันโรคร้ายแรงฉบับอื่นไปให้ความคุ้มครองถึงอายุ 80 ปีเท่านั้น
3. สัญญาชำระเบี้ยสั้นแค่ 10 หรือ 20 แล้วคุ้มครองตลอดชีวิต ซึ่งต่างจากประกันโรคร้ายแรงสุขภาพแบบเดิมที่จะต้องชำระเบี้ยตลอดไปจนถึงอายุ 80
4. ประกันให้ความคุ้มครองโรคร้ายแรงทั้งในขั้นต้น และขั้นรุนแรง
5. จ่ายเงินตามวงเงินประกัน จ่ายเป็นลักษณะของการชดเชย เช่น ทำประกัน 5 ล้านบาท เจอโรคมะเร็งขั้นลุกลาม ก็จะจ่ายให้ 5 ล้านบาท และกรมธรรม์ยุติลง สามารถจัดสรรการใช้เงินได้เอง จะใช้รักษาที่ไหนเลือกได้เองเลยจะในหรือต่างประเทศหรือไม่รักษา
6. ค่าเบี้ยดูเหมือนจะแพงตอนแรก ซึ่งหากคำนวณเทียบกับแบบเดิมที่จ่ายทิ้ง จนถึงอายุ 80 แบบนี้ถูกกว่า ให้ความคุ้มครองที่ยาวนานกว่า แบบเดิมที่จ่ายทิ้งนั้นในช่วงปีแรกๆที่อายุยังน้อยจะถูกมาก ที่ทุน 1 ล้านบาท เบี้ยประกันประมาณ 2 พันบาท แต่เมื่ออายุ 70 ค่าเบี้ยประกันจะเพิ่มสูงเป็นหลายแสนบาทได้
7. อย่าใช้วางแผนแบบเหยียบเรือ 2 แคม การใช้ประกันกรมธรรม์เดียววางทั้งแผนเกษียณและแผนสุขภาพ แบบนี้ไม่ควรทำ มันไม่ได้ทำได้ทุกอย่าง เพราะหากคุณป่วยเงินมันจะถูกดึงไปรักษาตัวหมดไม่มีเงินเก็บเหลือใช้ วิธีทีดีควรแยกเป็นแผนๆไป
8. มั่นใจว่าตัวเองไม่น่าจะป่วย แล้วจึงเสียดายเงินที่ต้องจ่ายทิ้งให้ประกันโรคร้ายแรง แบบนี้ก็ดีตรงที่หากไม่ป่วยเลย ถึงจุดหนึ่งจะปิดกรมธรรม์แล้วนำเงินออกมาใช่ได้ หรือจะให้เป็นมรดกไปเลยก็ได้ แต่คุณจะมั่นใจได้อย่างไรว่าจะไม่ป่วยตอนอายุ 70
9. เป็นคนที่คิดว่าป่วยแน่ๆก่อนชำระเบี้ยหมด ข้อนี้เกิดจากลูกค้าคนหนึ่งเป็นคนพูดออกมาถึงสาเหตุที่ซื้อประกันแบบนี้ เพราะเค้าคิดว่าเค้าน่าจะเป็นมะเร็งตอนก่อนที่จะชำระเบี้ยหมดแน่
สนใจสอบถามข้อมูลเพิ่มเติมเกี่ยวกับประกันตัวนี้ได้นะครับ
ความคิดเห็น
แสดงความคิดเห็น